สมัยกลาง: ความยากเข็ญและการฟื้นตัว ของ โยชิโตชิ

งานออกแบบอันมีชื่อเสียงของสตรีของโยะชิโทะชิ Fuzoku Sanjuniso (ค.ศ. 1888)ภาพหนึ่งจากชุด Mitate Tai Zukushi

เมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1869 โยะชิโทะชิก็ถือกันว่าเป็นศิลปินภาพพิมพ์แกะไม้ผู้ที่มีฝีมือดีที่สุดในญี่ปุ่น แต่ไม่นานหลังจากนั้นโยะชิโทะชิก็หยุดได้รับงานจ้าง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะสาธารณชนเกิดความเบื่อหน่ายกับงานที่เป็นฉากของความทารุณโหดร้าย เมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1871 โยะชิโทะชิก็ตกอยู่ในอารมณ์อันซึมเศร้าอย่างหนัก และชีวิตส่วนตัวก็เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงและดำเนินต่อมาเป็นช่วงเช่นนั้นจนกระทั่งเสียชีวิต โยะชิโทะชิดำรงชีวิตอยู่ในสภาพอันลำบากแสนเข็ญกับภรรยาน้อยโอะโคะโตะผู้ภักดี ผู้ยอมขายเสื้อผ้าและทรัพย์สมบัติของตนเองเพื่อเลี้ยงดูโยะชิโทะชิ ความยากไร้ถึงจุดต่ำสุดครั้งหนึ่งเมื่อถึงกับต้องเผาพื้นบ้านเพื่อทำความร้อน เชื่อกันว่าในปี ค.ศ. 1872 โยะชิโทะชิก็เสียสติหลังจากที่ประสบกับปฏิกิริยาที่ขาดความนิยมต่องานชิ้นล่าสุดที่ไม่ได้คาดของงานที่เพิ่งออกแบบ

แต่ในปีต่อมาสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปเมื่อสภาวะทางจิตใจค่อยกระเตื้องขึ้น และโยะชิโทะชิก็เริ่มออกแบบงานเพิ่มขึ้น ก่อนปี ค.ศ. 1873 ลงชื่อบนงานเขียนเกือบทุกชิ้นว่า "อิคไคไซ โยะชิโทะชิ" แต่หลังจากนั้นโยะชิโทะชิใช้ชื่อ "ไทโสะ" (ที่แปลว่า "การฟื้นฟูครั้งสำคัญ") เพื่อแสดงความมั่นใจในตนเอง ในช่วงนั้นก็มีการเริ่มหนังสือพิมพ์กันขึ้น โยะชิโทะชิได้รับการเชิญชวนให้สร้าง "news nishikie" ซึ่งเป็นงานภาพพิมพ์แกะไม้สำหรับภาพทั้งหน้าเพื่อประกอบบทความ ซึ่งมักจะเป็นภาพเชิงกระพือข่าวเช่นเรื่องเกี่ยวกับอาชญากรรม ฐานะทางการเงินของโยะชิโทะชิก็ยังอยู่ในสภาพที่ไม่ไคร่ดีนัก แต่ในปี ค.ศ. 1876 ภรรยาน้อยโอะโคะโตะตามธรรมเนียมการเสียสละของญี่ปุ่นเพื่อแสดงความภักดีต่อสามีก็ขายตัวให้แก่ซ่องเพื่อช่วยสามี

การปฏิวัติสัสสุมะปี ค.ศ. 1877 ที่ฝ่ายศักดินาพยายามเป็นครั้งสุดท้ายที่จะหยุดยั้งความก้าวหน้าของญี่ปุ่น หนังสือพิมพ์ก็ขายได้เหมือนเทน้ำ ซึ่งทำให้จิตรกรภาพพิมพ์แกะไม้เป็นที่ต้องการตัวกันมาก และทำให้ความนิยมในตัวโยะชิโทะชิเริ่มฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ภาพพิมพ์ที่ออกแบบทำให้สาธารณชนรู้จักผลงาน รายได้ก็ค่อยดีขึ้นแต่ก็ไม่จนกระทั่งปี ค.ศ. 1882 ที่เรียกได้ว่ามีฐานะมั่นคง

ในปลายปี ค.ศ. 1877 โยะชิโทะชิก็มีภรรยาน้อยคนใหม่เป็นเกอิชาชื่อโอะระคุ ผู้เช่นเดียวกับโอะโคะโตะผู้ยอมขายเสื้อผ้าและทรัพย์สมบัติของตนเองเพื่อเลี้ยงดูโยะชิโทะชิ และหลังจากที่อยู่ร่วมกันได้ปีหนึ่ง โอะระคุก็ขายตัวเข้าซ่อง

ในปี ค.ศ. 1878 โยะชิโทะชิออกแบบงานบิจิงะชุด Bita shichi yosei ที่ก่อให้เกิดปัญหาทางการเมืองให้แก่โยะชิโทะชิขึ้น เพราะเป็นภาพของสตรีเจ็ดคนที่มีหน้าที่ในราชสำนัก และระบุชื่อด้วยกันทุกคน อาจสาเหตุอาจจะเป็นได้ว่าตัวพระจักรพรรดินีเองไม่ทรงพอพระทัยกับลักษณะของภาพเหมือนของพระองค์ในภาพชุดดังกล่าวก็เป็นได้

ในปี ค.ศ. 1880 โยะชิโทะชิก็พบสตรีอีกคนหนึ่งที่เคยเป็นเกอิชาที่มีลูกสองคนชื่อสะคะมะคิ ไทโคะ สองคนสมรสกันในปี ค.ศ. 1884 ขณะที่โยะชิโทะชิยังคงมีปัญหาแต่ความอดทนและความอ่อนโยนของสะคะมะคิ ไทโคะดูเหมือนจะเป็นเครื่องที่ช่วยให้โยะชิโทะชิสงบลงบ้าง

ในปี ค.ศ. 1885 นิตยสารศิลปะและแฟชั่น "Tokyo Hayari Hosomiki" ลำดับโยะชิโทะชิเป็นที่หนึ่งในบรรดาศิลปินภาพอุกิโยะที่มีความสามารถเหนือกว่าศิลปินเมจิร่วมสมัยเช่นอุตะกะวะ โยะชิอิกุ และ โตะโยะฮะระ คุนิชิคะ ซึ่งทำให้โยะชิโทะชิได้รับชื่อเสียงและความนิยมในอันดับสูงสุด

เมื่อมาถึงช่วงนี้อุตสาหกรรมภาพพิมพ์แกะไม้ก็แทบจะไม่มีหลงเหลืออยู่แล้ว ศิลปินภาพพิมพ์แกะไม้ชั้นครูของต้นคริสต์ศตวรรษเช่นฮิโระชิเงะ, อุตะกะวะ คุนิซะดะ และ อุตะกะวะ คุนิโยะชิ ต่างก็เสียชีวิตกันไปหลายสิบปีก่อนหน้านั้น และศิลปะภาพพิมพ์แกะไม้ก็เป็นศิลปะที่หมดความสำคัญลงท่ามกลางญี่ปุ่นที่ก้าวไปข้างหน้า

โยะชิโทะชิเน้นการรักษามาตรฐานของคุณภาพอันสูงส่งในการสร้างภาพพิมพ์แกะไม้ ซึ่งก็เป็นการพยุงชีวิตจากการเสื่อมโทรมของศิลปะอยู่ชั่วระยะหนึ่ง โยะชิโทะชิกลายมาเป็นปรมาจารย์ผู้มีลูกศิษย์คนสำคัญเช่นโทชิคะทะ มิซุโนะ, โทชิฮิเดะ มิงะตะ และอื่นๆ

ใกล้เคียง